วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรากฎการณ์ “เหนียวไก่หาย” และ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นพะวง

ปรากฎการณ์ “เหนียวไก่หาย” พร้อมกับ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นห่วง
มีผู้เป็นห่วง ไลล่า สาวน้อยวัย 15 ปีแห่งจังหวัดสตูลผู้โด่งดังจากคลิป เหนี่ยวไก่หาย ซึ่งมียอดแชร์ทะลุแสนพ่างชั่วข้ามคืน ว่าเธอจักรับมือกับความดังไม่ไหว ด้วยกันบ้างก็บ่นว่าความตื่นเต้นเรื่องคลิปนี้ของคนไทยสะท้อนความห่วยของสังคมไทยด้วยกันโดยเฉพาะสื่อไทย
เห็นด้วยเฉพาะเรื่องสื่อไทยในแง่ที่ว่าดูเหมือนไม่เคยทุ่มเทความศักยทำข่าวเจาะลึกที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างนี้เลยแต่กับข่าวนี้นั้นหลายสำนักแทบจะระดมทุกสรรพกำลังไปตามล่าหาตัว ไลล่า แล้วแข่งกันเสนอข่าวราวกับไม่มีเรื่องอื่นใดในโลกสำคัญกว่าไลล่าและเหนียวไก่ของเธอ
ความแน่แท้การเสนอข่าว เหนียวไก่และไลล่า ของสื่อนั้นไม่ผิด ยิ่งในแง่ คุณค่าข่าว ยิ่งไม่ผิด เหตุเพราะข่าวนี้เป็น a human interest story ไม่ใช่หรือเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของผู้คนร่วมสังคม การฟันธงว่าข่าวนี้ไม่มีคุณค่าเลยจึงอาจเข้าข่าย อย่างยิ่งไปหน่อย ในด้านของความพยายามจักอยู่ในโลกแห่งความ ดีงาม เชื่อว่าทุกอย่างต้องครันจัง หนักแน่น มีประโยชน์
คุณค่า ไม่จำเป็นต้องแปลว่า เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เสมอไป ความสนใจใดๆของปัจเจกย่อมมี คุณค่า ต่อปัจเจกผู้นั้น พร้อมทั้งการยอมรับรวมถึงเคารพความสนใจอันแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ที่เป็นเพื่อนร่วมสังคมกับเราแม้เราจะไม่เห็นว่ามันน่าสนใจเลยถือเป็นคุณค่า อย่างหนึ่ง
ข้ออ่อนด้อนของสื่อไทยที่ควรต้องพิจารณาตนเอง จึงเป็นเรื่องความคิดด้วยกันความศักยในการนำเสนอข่าวสารต่างๆ มากกว่า
สิ่งที่สื่อไทยควรคิดพร้อมกับทบทวนก็คือ ทุกวันนี้ได้ทำงานในบทบาทสื่ออย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ก็ยัง ได้ทุ่มเทความเก่งในการคิดค้นสืบหาความแน่นอนต่างๆ ที่สังคมควรรับรู้มานำเสนอไม่ใช่หรือยัง ตระหนักไม่ใช่หรือไม่ว่ามีข่าวอะไรบ้างที่ควรต้องติดตามสืบค้นข้อมูลมาทำเป็นข่าว หรือไม่ทำเป็นแต่ข่าวระดับ human interest ซึ่งก็ไปได้ไม่ไกลว่าความสนใจระดับผิวเผิน วูบวาบ ไม่เป็นได้เข้าถึง เบื้องหลัง ปรากฏการณ์ตามที่เป็นจริงๆ
น่าคิดเหมือนกันว่า ทั้งๆ ที่สื่อสำนักต่างๆ แข่งกันทำข่าวไลล่า เราๆท่านๆ ที่ติดตามข่าวก็ไม่ยักได้ข้อมูลที่พอจะแสดงได้อย่างชัดเจนว่า ไลล่ามีชีวิตอย่างไร แบบไหน เพราะว่าตามคลิปและตามคำให้สัมภาษณ์ซึ่งอ้างเพราะว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับ ตราบ เหนียวไก่ หายไป เธอก็ไปขอเงินแม่มาซื้อใหม่ พร้อมด้วยเธอมีเงินอยู่ในกระเป๋า ไม่ตะกลามอิโม้
ส่วนหนังสือพิมพ์บางฉบับอ้างคำให้สัมภาษณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลว่าเธใคร่จนอยู่กับยายต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้น ม.2 มารับจ้างรีดผ้า ดูแลยายพร้อมกับเรียนการศึกษานอกโรงเรียนไปด้วย
ด้านหนึ่ง สื่อ ด้วยกันผู้คนที่มีสถานภาพค่อนข้างดีในสังคม มักมองเห็นเด็กๆ ในสื่อที่ไม่ได้มาจากตระกูลดังหรือไม่ก็ตระกูลนักธุรกิจ เป็นเด็กยากจนและ เหยื่อ ผู้เผชิญอุปสรรคมากมายในชีวิตให้ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหฟุ้งเฟื่อง แต่ในหลายๆ กรณี นั่นคือภาพลวงตาที่ไม่ใกล้เคียงความแท้
ไลล่าในคลิปไม่ใช่เหยื่อ ถ้าเชื่อคำให้สัมภาษณ์ของเธอจากสำนักข่าวอีกแห่งหนึ่งก็คือ เธอเจ็บใจที่ เหนียวไก่ หาย เธอจึงทำคลิปลงเฟสบุ๊คของเธอเอง กับคราวให้แม่ดู แม่ก็ขำ ใครๆ ก็ขำ แต่เธอตกใจบ้างที่มันกลายเป็นข่าวดัง เพราะว่าเธอไม่ได้ตะโกรงดัง
ทั้งหมดที่เธอทำลงไปในคลิป คือบ่นพร้อมทั้งต่อว่าใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ที่เธอตั้งใจซื้อมากินให้สบายใจ แท้จริงๆแล้วเธอเป็น ฝ่ายกระทำ เพื่อตอบโต้ใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ เธอไม่ได้ทำคลิปด้วยความรู้สึกเก็บกดไม่มีทางต่อสู้ แต่เธอกำลังต่อสู้ด้วยการบ่นพร้อมทั้งสบถในคลิปเพื่อระบายความโกรธออกมาดังๆ ซึ่งด้านหนึ่งเป็นชัยชนะของเธอ
นั่นคือ ใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ไปกำลัง เสียเปรียบ เพราะว่าถูกประจานต่อสาธารณะ แม้ไลล่าจักยังไม่เป็นได้รู้ได้ว่าใครก็ตามนั้นคือใคร แต่การที่ไลล่าได้ด่าว่าหัวขโมย ย่อมถือว่าได้ตอบโต้หัวขโมยแล้ว อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง
น่าสนใจว่าเหตุใดผู้คนจึงชอบคลิปของเธอแม้เธอจักสบถ? เหตุใดคำสบถของเธอ จึงมิได้ทำให้คนอื่นๆ จำนวนมากที่ได้ยิน ฟังแล้วรู้สึกหยาบคาย?
แน่นอนว่ามีคนตกใจพร้อมด้วยรังเกียจคำสบถของเธอถึงขั้นเอามือปิดปากด้วยความตกใจว่าเธอช่างหยาบคายแท้แต่คนกลุ่มหลังนี้ซึ่งดูเหมือนจักมาจากกลุ่มคนชั้นกลางในเมืองเพราะเฉพาะเมืองบางกอกผู้ปรารถนาพางโลกแห่งความดีพร้อมอาจหลงลืมชีวิตปกติของสามัญชน ไม่เช่นนั้นก็เติบโตขึ้นมาในโลกสวยจนไม่รู้จักชีวิต
คำตอบของคำถามข้างบนนั้นอยู่ที่บริบทพร้อมทั้งสถานะของคำสบถ
ไลล่ามิได้กำลังด่ากราดเอาเป็นเอาตายไม่ก็ประกาศจะเข่นฆ่าใครให้ตายเหมือนหลายๆคลิปที่มีผู้สบถออกอากาศแช่งชักหักกระดูกหรือไม่ขู่ฆ่าคนคิดต่าง แต่เธอกำลังบ่นไปสบถไป ด้วยความขุ่นเคืองปกติในชีวิตปกติของชาวบ้าน
การบ่นของเธอเป็นเรื่อง ขำๆและน่ารัก ด้วยผู้ได้รับฟังคนอื่นๆ ซึ่งมิใช่ขำว่าคนบ่น ด้อยกว่า ตลกกว่า เหมือนคนไทยจำนวนมากชอบขำ (อย่างที่ไม่ควรขำ) กับมุกภาษา แตกต่างที่ตลก ของเพื่อนบ้านต่างชาติ กรณีนี้ขำก็เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การขโมยปกติที่ แท้จัง พร้อมทั้ง เสียหาย อย่างครันจัง มันไม่ใช่การขโมยรถ ไม่ใช่การขโมยเงิน สมมตเป็นการขโมยข้าวเหนียวไก่ ซึ่งมีสนนราคาเช่น 30 บาท
กรณีนี้ขำก็เพราะว่าหน้าตาพร้อมกับเสียงบ่นของไลล่าที่ได้อารมณ์หงุดหงิดแบบคนเจ็บใจว่าอุตส่าห์ซื้อเหนียวไก่มากินมาแล้วอดกิน
ที่สำคัญคือภาษากลางสำเนียงใต้ที่เรียกกันว่า ทองแดงพร้อมด้วยอารมณ์บ่น ของไลล่า ซึ่งต่างจากการ ด่าอย่างเหี้ยมเกรียม มุ่งร้ายหมายชีวิต ทำให้คำสบถ เหยดแหม่ กลายเป็นคำขำๆ ที่ลดทอนความรู้สึก ด่าแม่ อย่างนักจัง ให้เป็นความรู้สึกธรรมดาๆ เพราะสร้อยคำอย่างธรรมดาที่คนใต้จำนวนมากใช้กันอยู่ในชีวิตปกติ
ไลล่ารู้ตัวว่าคำสบถของเธอหยาบคายเกี่ยวกับคนทั่วไปในการให้สัมภาษณ์ที่เปิดปากแพร่ทางคลิป เธอขอโทษที่พูดคำหยาบและสาธยายว่าไม่คิดว่าคลิปจักปูดแพร่ไปบานเบอะขนาดนี้
เราไม่อาจรู้ได้ว่าไลล่าเติบโตมาอย่างไรแต่จากคลิปเหนียวไก่หายด้วยกันคลิปคำให้สัมภาษณ์ของเธอภายหลัง รวมทั้งจากข่าวต่างๆ ที่พอประมวลมาได้ น่าเชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีสติสัมปชัญญะและมีความรับผิดชอบ เธอมิได้แสดงตัวเป็นคนดัง จนกระทั่งมีผู้ไปขอถ่ายรูปขณะเธอกำลังทำงานที่ร้านขายไก่ เธอก็หมายชัดเจนว่าเธอขอทำงานก่อน
นอกจากนั้น เธอยังมีญาติผู้ใหญ่ที่จักคอยดูแลในกรณีที่มีข่าวว่าจะมีบริษัทมือถือไปติดต่อขอให้เธอเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา
ในฐานะคนปักษ์ใต้คนหนึ่งผู้เขียนเห็นว่าสังคมปักษ์ใต้โดยทั่วไปยังคงมีความเข้มแข็งของสังคมเครือญาติ คนในครอบครัวยังดูแลกันกับกันเสมอ
ปรากฏการณ์ เหนียวไก่หาย ไม่ได้ทำให้ไลล่าน่าเป็นห่วง พร้อมด้วยไม่ได้ทำให้สังคมไทยเสื่อมทราบลงด้วยคำสบถ เหยดแหม่ ที่คนจำนวนมากพูดกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวันโดยไม่มีนัยถึงการ ด่าแม่
ที่น่าห่วงกว่ากลับเป็นสติของคนทำสื่อและเราๆ ท่านๆ ในการเต้นตามข่าว รวมถึงบรรดาผู้โหนกระแสไลล่าที่ตามเกาะไลล่าราวกับตัวเห็บ
ต่างว่าต้องการโหนกระแสกันแน่ๆๆน่าจักช่วยกันตามหาว่าเหตุใดจึงมีการขโมยเกิดขึ้นได้ต่อหน้าต่อตาหน้าร้านเซเว่นอิเลฟเว่นกลางเมืองสตูล เท่าข้าวเหนียวไก่ยังขโมยกันได้แล้วชีวิตจะปลอดภัยหรือว่า
ความสนใจตามกระแสเป็นเรื่องปกติ มิใช่ความผิดไม่ก็น่าอับอาย แต่สมมุติรู้จักแทบตามกระแสจนไม่เคยมองเห็นเรื่องราวใดๆ ด้วยตัวเองเลย ได้แต่วิ่งตามแห่ไปเรื่อยๆ นั้น ถือเป็นการบ่อนทำลายความเชี่ยวชาญของสมองชนิดหนึ่ง

ที่มา: http://thaizones-hitech.blogspot.com/2014/11/blog-post_17.html

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> http://thaizones-hitech.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น